วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จากคลองทรายถึงโขงเจียม

....จำได้ไหม ไกลแสนไกล เราจะก้าว ..จะฝ่าก้าว
ถึงหมื่นภู แสนภูอันเพริดพราว ถึงกี่ถิ่นราวป่ารกจะรอนแรม
ทองทั้งดวงที่ช่วงฉายบนชายฟ้า
จุดศรัทธาแสงทั้งดวงอันส่งแต้ม
ขอแค่เพียงแสงตะเกียงเพียงรอนแรม
ฟ้าจะแจ่มพรุ่งนี้ ..ณ พรุ่งนี้.....
ณ วันสุดท้ายในการฝึกงาน ของ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หรือ ปวส. 1 เทคโนโคราช เพื่อนผองน้องพี่ชาวอนุรักษ์ เรานัดเจอกันที่ คุรุสัมนาคาร เพื่อที่จะเดินทางไปหมู่บ้านคลองทราย ...นั่งรอกันแบบ อ้อล้อ..รอเธอ..คนแล้วคนเล่า นั่งลุ้นตัวโก่งว่าคนต่อไปที่จะเดินทางมาถึงเป็นใคร เพราะแต่ละคนฝึกงานตามต่างจังหวัด กว่าจะเดินทางกลับมาถึง ใช้เวลานานพอสมควร เรากะปุ๊ บินตรงจาก อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นถึงคุรุฯ ประมาณ ช่วงสี่ถึงห้าโมงเย็น ในขณะนั้นมีประชากรประมาณ สี่ถึงห้าชีวิต ที่นั่งดีดกีตาร์ ร้องเพลง..และที่ขาดไม่ได้คือ ดริ๊ง!!!!

เมื่อมาครบองค์ ออกเดินทันที..ขึ้นรถทัวร์ไปยัง กม.79 ซึ่งเป็นเส้นทางเขาสู่หมู่บ้านคลองทราย ลงรถทัวร์ด้วยเวลาประมาณหกโมงเย็น..และเดินเท้ากันเช่นเดิม ..


..เดินตามเส้นทางที่ลาดยางเพียง กม.แรกเท่านั้น ที่เหลือก็ฝุ่นแดง..

คลองทรายที่คิดถึงยังคงเหมือนเดิม..มินิมาร์ทเล็กๆ ที่เป็นเพียงห้องเล็กๆ กรุสังกะสี ประตูบานกระทุ้งสังกะสี เวลาเปิดร้านไม่มีเสียงติ๊งหน่อง มีแค่เพียงไม้ค้ำที่แข็งสักสองท่อน ก็หรูแล้ว ลูกเล็กเด็กแดง อยู่กันตามอัตภาพ เคยวาดฝันว่าวันหนึ่งอยากจะมีชีวิตที่สงบเงียบมีความสุขตามอัตภาพ เช่นดังชีวิตเรียบง่ายของคนที่นี่..แต่มันก็คือฝัน..

ผ่านหมู่บ้าน ทักทายทุกคนที่เคยรู้จัก เลยไปยังหลังฝาย นั่งชุมนุมตั้งวงเช่นเดิม..สาวๆสี่คนก็เมาดิบตามระเบียบแบบเนียนๆ เคาะแก้วเคาะขวดให้จังหวะตามเสียงเพลง แค่นี้เราก็มีความสุข ...

เช้าวันใหม่ นั่งล้อมวงจิ๊บกาแฟคุยกัน เริ่มหาสถานที่ท่องเทียว ที่ต่อไป..ที่แล้วที่เล่า ยังไม่น่าสนใจ สรุปได้ ที่ โขงเจียม "บ้านผมเองครับ" แมงเม่ารีบเสนอ..เป็นอันว่าทริปนี้สรุปที่โขงเจียม เราจะเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า ขอเสนอหน่อยได้มั้ย..เราอยากโบกรถไปใครจะไปกับเรายกมือขึ้น..สิ้นคำถามของเรา มองรอบวงเขาใจว่าต้องยกกันพรึบ!!! เนื่องจากดูสไตล์แต่ละคนน่าจะลุยๆ เงียบกริบ..มีอีกหนึ่งเสียงสนับสนุน ปุ๊เพื่อนรักนั่นเอง..มองต่อด้วยสายตาเว้าวอนเป็นทำนองว่าไม่มีใครไปกับเราเลยหรอ??? ได้ผลเฮ๊ะ สายตานี้ มีเพิ่มอีกสอง..เปิ้ลกับแต้ม "เราไปด้วย" ตกลงตามนั้นเรามีแนวร่วมแล้ว...จึงหันไปถามเจ้าของบ้าน ไม่ไปกับเราหรอ?? แมงเม่าตอบทันควันว่า "เราต้องไปกับกลุ่มที่ไปถึงก่อนเพราะเราเป็นเจ้าของบ้าน"

เช้าวันใหม่ เราสี่คน ต๋อย ปุ๊ เปิ้ล และแต้มเดินทางออกจากคลองทราย ประมาณเจ็ดโมงเช้า เริ่มโบกรถตั้งแต่ ศาลาปากทางเข้าหมู่บ้านคลองทราย ...รถกระบะหนึ่งคันผ่านมานั่นคือ รถโบกคันแรกของทริปนี้ "จากคลองทรายถึงโขงเจียม"

รถคันแรกพาเรามาส่งถึงตลาด กม.79 ขอบคุณมากมายสำหรับคนไทยน้ำใจงาม.. เดินมาเรื่อยๆ ตามถนนมือก็โบกไปทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถผ่าน..ในที่สุดรถคันที่สองก็จอดให้เราเป็นกระบะเช่นเดิม คราวนี้เราไปได้เกือบถึงโคราชเชียว ขอลงรอช่วงทางแยกบุรีรัมย์ และรถคันแรกที่พาเราเดินทางออกจากจังหวัดนครราชสีมา สู่ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นรถบรรทุกคันใหญ่ใหม่เอี่ยม ด้านหลังเต็มไปด้วย เครื่องสุขภัณฑ์ แต่ท่านเจ้าของรถมีน้ำใจ..แล้วเราจะนั่งไปยังไงเนี่ย ใจคิดทันทีที่เห็นสภาพรถที่จอดให้..(พี่มีน้ำใจแต่จะให้พวกหนูนั่งไปยังไงเนี่ยยยย)






แต่เราเข้าใจผิดถนัด คนขับรถบรรทุกเดินลงมาแล้วเปิดประตูด้านหน้าซึ่งมีแค๊ป ให้พวกเราทั้งสี่ขึ้นไปนั่งร่วมทาง..โดยมีแต้มนั่งเป็นเนวิเกเตอร์..เราเดินทางกันอย่างมีความสุข..ทริปนี้รู้สึกเหมือนมีเซนท์บางอย่างจึงหลุดปากบอกเพื่อนออกมาว่า"วันนี้เราต้องถึงโขงเจียมอย่างแน่นอน" เพื่อนๆ ฟังโดยมิได้ใส่ใจนัก..

เมื่อถึงอำเภอประโคนชัยซึ่งเป็นจุดหมายของรถขนสุขภัณฑ์แต่มิใช่จุดหมายของพวกเรา..ขอบคุณในน้ำใจของพี่สิบล้อเรียบร้อยจึงข้ามฝั่งมาเตรียมโบกรถคันต่อไป ซึ่งเซนท์อันแม่นยำของต๋อยก็บอกอีกว่า คันนี้เราต้องถึงอุบลฯแน่นอน...เพื่อนๆ ขำ และพยายามที่จะมองหารถทะเบียนอุบล เพื่อนให้เป็นไปตามที่เพื่อนบอก เปล่าเลย เราโบกรถได้เป็นรถกระบะสีน้ำเงินทะเบียน ระยอง ขนทุเรียนไปครึ่งรถ แต่ที่น่าอัศจรรย์ คือจุดหมายของเขา "อุบลราชธานี" เพื่อนเริ่มมองหน้า..อืมมม เซนท์แม่นยำมาก!!!

เป็นรถคันที่เรานั่งในระยะไกลที่สุดของทริปนี้ ทุเรียนที่เราเป็นศตรูกันมาตลอด ครั้งนี้มันเป็นมิตรมาก มันไม่ส่งกลิ่นมารบกวน มันแบ่งทีให้เรานั่งสบายๆ ท้ายกระบะ แต่เวลารถเบรคหรือเร่งเครื่องเราต้องคอยพูดคุยกับมันนิดหน่อยเพื่อความเป็นมิตรที่ดีซึ่งกันและกัน ไปจนถึงอุบล ขณะนั้น เริ่มมืดมองอะไรไม่ค่อยเห็น ท้องก็เริ่มหิว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงแวะหาอาหารรองท้อง ก่อนเดินทางเพื่อจะโบกรถต่อ จำได้ว่าที่หน้าโรงพยาบาล เราโบกรถได้อีกหนึ่งคันจุดหมายปลายทาง พิบูลมังสาหาร แต่ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้แรงผู้หญิงสองคนเริ่มถดถอย นายแต้มซึ่งเดินนำหน้ามองเห็นรถจอดห่างจากระยะที่ตนเดินเพียงไม่ถึงห้าเมตร ด้วยความหวังดี จึงรีบวิ่งปรี่เข้าไปเพื่อพูดคุยและขออาศัย รถเจ้ากรรมคันนั้นขับหนีไปทันที...ด้วยความตกใจของพวกเราจึงพากันดุแต้มว่าวิ่งไปทำไม..แต้มมองกลับมาด้วยแววตาสงสัยว่าทำไม??






โหยย!!! ก็จะไม่ให้เขาขับหนีได้อย่างไรล่ะคะท่านขา ก็เวลานั้นค่ำมืดแล้ว และการแต่งตัวของท่านก็...เสื้อยืดสีดำ สวมทับด้วยเสื้อทหารกางเกงยีน พร้อมแบกถุงกีตาร์หนังสีดำ มองเผินๆ เหมือนท่านแบกปืน..แล้วอย่างนี้ใครจะไม่กลัวท่านล่ะคะ..






แต้มงอนเล็กน้อย(แต่ตอนนั้นหัวยังไม่ล้านเท่าไหร่นะ)..ตอบสวนกลับมาทันที เออ เดี๋ยวโบกคืนให้ก็ได้ ว่าแล้วเขาก็ ทำการโบกรถทันทีที่มีแสงไฟสาดส่องมา และรถคันดังกล่าวก็ดูเหมือนว่าชะลอเตรียมจะจอดให้แต้ม ได้ทีดังนั้นจึงทับถมเพื่อนทันที "เห็นมั้ย โบกคืนให้แล้วไม่เห็นจะยาก" รถคันนั้นจอดจริงดังคาด ใกล้เข้ามาเราจึงเห็นชัดเจนว่า มันยาวผิดปกติกว่าที่เราเคยโบกได้ พร้อมมีป้ายติดข้างรถว่า "อุบล-พิบูลฯ" สรุป รถโดยสารประจำทางนี่เอง..แต่ทำไงได้เพื่อนโบกให้แล้วนี่ เป็นอันว่าทริปนี้ผิด concept เล็กน้อยมีรถโดยสารแถมมาหนึ่งคันโดยมิได้ตั้งใจรถคันนั้นพาเราไปถึงอำเภอพิบูลมังสาหาร เราเดินชมสะพานข้ามแม่น้ำมูลอันทอดยาว เพื่อรถรถโบกต่อไปให้ถึงโขงเจียมตามที่ตั้งใจ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ทุกคนถอดใจคิดว่าคงไม่ถึงในคืนนี้แน่นอน เพราะคงไม่มีรถผ่าน หรือมีก็คงไม่กล้าจอดให้คนผ่านทาง...แต่ต๋อยไม่..และยังมั่นใจให้สัมผัสที่หก..(เว่อร์เล็กน้อย..แต่มั่นใจมาก)

ปลายสะพานเป็นศาลาพักเล็กๆ ทั้งสามเตรียมตัวจะนอนที่ศาลานั้น มีเพียงเราที่คอยวิ่งมาที่ตีนสะพานทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถผ่าน..ในที่สุดสิ่งที่รอคอยก็มาจริงๆ รถกระบะต่อหลังคันหนึ่งแล่นผ่านมา และยอมจอดให้ผู้หญิงเซอร์ๆคนหนึ่งที่ยืนโบกอยู่ข้างทาง หลังจากที่รถจอดปุ๊แต่เราเข้าไปสอบถามโดยห้ามมิให้แต้มเดิมออกจากศาลาเด็ดขาด เพราะนี่น่าจะเป็นรถคันสุดท้ายของคืนนี้ซึ่งเราพลาดไม่ได้อีกแล้ว..และแต้มก็ต้องยินยอมโดยดี...ในที่สุดพวกเราทั้งสี่ก็ได้รับน้ำใจของรถคันใน ซึ่งกำลังเดินทางไปสู่อำเภอโขงเจียม

จากคนที่พูดเก่งเป็นต่อยหอยอย่างเรา พอเจอคนแปลกหน้ามากมายกลับนึกคำพูดอะไรไม่ออกที่จะชวนคนในรถคุยเพื่อผ่อนคลายเนื่องจากรถคันดังกล่าวมีผู้โดยสารอยู่เกือบเต็มคันรถ แต่ทุกคนมีนำใจแบ่งปันพื้นที่ให้พวกเราสี่คนเข้าไปเบียดเสียด หน้าที่นี้จึงกลางเป็นปุ๊ซึ่งเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เธอกลับทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี จนได้ได้ทราบถึงว่ารถคันนี้ถูกเหมาเพื่อพาไปหาหมอที่โคราชและกำลังเดินทางกลับ ซึ่งจุดหมายปลายทางของพวกเขา ห่างจากจุดที่เราจะไปเป็นระยะทางถึง 8 กม. ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเราแน่นอน เพราะเราเดินเข้าหมู่บ้านคลองทรายเป็นระยะทางถึง 20 กม.เรายังไม่หวั่น แต่นี่จิ๊บๆ

ด้วยอัธยาศัยอันดีของคนพื้นที่ประกอบกับปุ๊ทำงานได้ดี..เมื่อไปถึงบ้านของคนที่เหมารถไป และเป็นคนเดียวกันกับที่อนุญาตให้เราติดรถมาด้วย ข้าวปลาอาหารถูกหามาเลี้ยงทุกๆคน รวมถึงพวกเราด้วย แต่พวกเราขอตัวเพราะต้องรีบเดินทางต่อ เนื่องจากเราต้องเดินเท้ากันอีกถึง แปดกิโลเมตร..แต่ในที่เจ้าของรถจึงมาคุยกับพวกเราให้ทานข้าวกันก่อนแล้วเขาจะพาพวกเราไปส่งยังจุดหมาย..ขอบคุณมากมายสำหรับน้ำใจคนโขงเจียม...

คืนนั้นเราถึงโขงเจียมตามที่ตั้งเป้าไว้ ในเวลาประมาณเกือบห้าทุ่มเศษ แต่บ้านแมงเม่าอยู่ไหน..ไม่มีใครรู้ คืนแรกที่โขงเจียง กางเต้นท์ข้างศาลาริมแม่น้ำโขง หน้าที่ว่าการอำเภอ..ซึ่งคืนนั้นเราก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นมากมายทั้งคืน ไหนจะการไปเข้าห้องน้ำที่มีคนอยู่ ต้องรีบวิ่งไปหลบเมื่อเขาเดินออกมาโทษฐานไปดึงประตูเขา..ไหนจะประทัดจากไหนไม่ทราบดังข้างเต้นท์...






รุ่งเช้าคาดว่าแมงเม่าคงโทรแจ้งที่บ้าน คุณแม่เดินออกมาตามหาพวกเรา..เพื่อนๆของลูก..ซึ่งลูกยังมาไม่ถึง หน้าตาเพื่อนๆ แม่ก็ไม่เคยเห็น อาศัยเดาว่า ต้องเป็นพวกนี้แน่ๆ มากางเต้นท์นอนข้างศาลา...แม่เดินเข้ามาถามและพาเข้าบ้านไปพักผ่อน..โดยเจ้าของบ้านและเพื่อนพ้องที่นั่งรถไฟตามมาถึงตอนบ่ายแก่ๆ




ทริปนี้เราได้นอนไม่ซ้ำสถานที่เลย..คืนแรกเรานอนริมโขง พอถึงคืนที่สอง เราไปนอนริมแม่น้ำมูล ดูน้ำสีใสกันบ้าง หลังจากวันแรกชื่นชมน้ำโขงสีขุ่นกันมาพอประมาณ ส่วนคืนที่สามเรามานอนกันที่ลานหินฝั่งแม่น้ำสองสายมาบรรจบกันเรียกว่า "แม่น้ำสองสี" เล่นน้ำกันสามคน กระโดดไปมาระว่างแม่น้ำสองสายอยู่ดีดี มีอุนจิ (อึ) ลอยมาจากไหนมิทราบ วงแตก สลายตัว ยี้!!!!! ซึ่งช่วงเย็นเรานั่งเรือข้ามไปเที่ยวฝั่งลาว โดยเสียค่าเหยียบพื้นดินลาวคนละสิบบาท สิ่งที่ได้กลับมาก..เหล้าขาว...






คืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตกหนักมาก และทุกคนก็เมาเหล้าขาวลาว เราตื่นมารู้ตัวอีกที น้ำท่วมเต้นท์ กำลังจะท่วมถึงหูอยู่แล้วพอดีตื่นก่อน วิ่งไปปลุกเพื่อน อ้น ซึ่งเพื่อน ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่นจึงจำใจต้องปล่อยเพื่อนนอนให้น้ำท่วม โชคดีที่ฝนหยุดเร็วไม่อย่างนั้นเพื่อนคนจำน้ำตายในเต้นท์(แล้วถ้าบอกใครจะมีใครเชื่อมั้ยเนี่ย!! แต่นี่คือเรื่องจริง)

ความทรงจำเหล่านี้..สิบห้าปีแล้วสินะ..อยากรู้จังว่า โขงเจียมปัจจุบัน เป็นอย่างไร สวยงาม เจริญ มากขึ้นแค่ไหน บ้านทรงยุโรปโบราณที่เราทำเท่ห์ยังอยู่มั้ย??? มากมายคำถาม..ใครมีคำตอบเกียวกับโขงเจียมมุมปัจจุบัน แชร์ได้นะคะ..อยากเห็น อยากรับฟัง..อยากรับรู้....



1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ6 ธันวาคม 2553 เวลา 22:03

    เป็นความทรงจำที่ดี เลยละ แต่ไม่เคยไปเลย อะ ที่โขงเจียม
    พี่โต

    ตอบลบ

ผ่านมาอ่านแล้วก้ออย่าลืมเม้นท์สร้างสีสรรด้วยนะคะ..เดี๋ยวคนเขียนจะเหงา..5555+++