วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

สิบกว่าปีที่หายไป...ด้วยความคิดถึง

หลังจาก ห่างกันถึง สิบกว่าปี..วันนี้ก็มาถึง..ด้วยน้ำผื้งหยดเดียว (รำลึกความหลังเขาแผงม้า) ความคิดถึง เข้าเจาะลึกในหัวใจทุกๆ คน ยิ่งได้อ่านเรื่องราว..เห็นภาพเก่าๆ ..ความทรงจำวันวาน ก็ยิ่งกลับคืนมา แล้วเราหรือจะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป..บัณทิต หรือแต้ม คือที่มาของน้ำผึ้งหยดใหม่ ...ขับรถตรงจากนวนคร มุ่งสู่ ศรีราชา ด้วยความยินดียิ่งของเจ้าถิ่น

แต่ด้วยความ ไม่คุ้นเคยเส้นทาง..หลงตามระเบียบ(แต่ถ้าระเบียบของต๋อยต้องหลงอย่างน้อยสองรอบถึงจะจำได้)..เลยไปเกือบถึงแยกพัทยา..แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะ เจ้าของสถานที่อย่างชวิน ก็ยังไม่สามารถอยู่ต้อนรับเพื่อนได้เช่นกัน เนื่องจาก ต้องพาลูกชายสุดที่รักไปฉีดวัคซีน...แต่ด้วยความมีน้ำใจ ทิ้งกุญแจบ้านไว้ให้เพื่อนตามสบาย!!! เรามาพร้อมเพรียง ในเวลาประมาณสองทุ่ม...และคืนนี้เป็นค่ำคืนที่ยาวนาน..เราพูดคุยบอกล่าเรื่องราวของกันและกัน..ขาดไม่ได้ สองพี่น้องตระกูลจิ๊ป ก็ต้องแลกเปลี่ยนความรู้และชื่นชมจิ๊ปของกันและกัน ส่วนต๋อย ปุ๊ แขก มิมีจะแลกเปลี่ยน เราก็เปลี่ยนมาเป็นแลกเปลี่ยนเสียงเพลงแทนจนเพื่อนแขกสลบคาวง..เมื่อหมดสิ้นทั้งแอลกอฮอล์และน้ำแข็งก็เป็นอันต้องแยกย้าย แต่ไปไหนไม่ได้ไกล ด้วยถือคติ ปลอดภัยไว้ก่อน เมาไม่กลับ(เหตุเริ่มจาก คำว่า เมาไม่ขับ..หนึ่งคนเมากันหมด..ส่วนอีกหนึ่งคันคนไม่เมาขับรถไม่เป็น)

คืนนั้นพำนับอยากสบายใจที่บ้านชวิน..ผู้ใจดี..มีแถมท้ายด้วยว่า พรุ่งอ้ายจะไปตลาดแต่เช้า ซื้อของมาทำข้าวต้มให้กิน และตอนเที่ยงกินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนค่อยกลับ..สรุปชวิน ตื่นสิบโมงเช้าตอนไม่เหลือใครเลย แม้แต่เมียและลูก...มื้อจึงหายไป..ตามมาใหม่อีกทีคือมือเที่ยง ไก่ย่าง ส้มตำ หมี่โคราช อาหารจานเด่น เพื่อนมีห้อยติดมามาถอนเล็กน้อย บอกว่าจะดีขึ้น...กินไปท่ามกลางฝนพร่ำสรุปได้ว่า..สงสัยจะติดลมบน..แต่บัณฑิตตอบทันควัน...ติดฝน..ซะงั้น


เมื่อเวลาล่วงเลยไปไม่สามารถเดินทางกลับได้ร้อนไปถืง นักร้องรับเชิญ ที่ทุกคนต้องปรบมือให้..พี่ติ๊ก ชิโร่ บึ่งรถ มอเตอร์ไซด์ มาด้วยใจ..จากบางระมุง..ถึงสองทุ่ม!! และจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปเฉกเช่นคืนแรก..ผิดกันตรงที่ ทุกคนอ่อนล้าเหลือไว้เพียง นักร้องหนุ่ม และสองสาว ซอดแจ้ง...โดยมีนายวู๊ดดี้ (ซึ่งเพิ่งจะได้รับการแต่งตั้ง โดยที่เจ้าตัวยังไม่ทราบฉายาใหม่ของตน) ตื่นมาตอนตีสี่ตามเวลาปกติ..พร้อมประโยคเด่นเป็นเพลง "อรุณเบิกฟ้า...."

จึงเกิดภาพและเสียงเหล่านี้ขึ้น!!!


วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จากคลองทรายถึงโขงเจียม

....จำได้ไหม ไกลแสนไกล เราจะก้าว ..จะฝ่าก้าว
ถึงหมื่นภู แสนภูอันเพริดพราว ถึงกี่ถิ่นราวป่ารกจะรอนแรม
ทองทั้งดวงที่ช่วงฉายบนชายฟ้า
จุดศรัทธาแสงทั้งดวงอันส่งแต้ม
ขอแค่เพียงแสงตะเกียงเพียงรอนแรม
ฟ้าจะแจ่มพรุ่งนี้ ..ณ พรุ่งนี้.....
ณ วันสุดท้ายในการฝึกงาน ของ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หรือ ปวส. 1 เทคโนโคราช เพื่อนผองน้องพี่ชาวอนุรักษ์ เรานัดเจอกันที่ คุรุสัมนาคาร เพื่อที่จะเดินทางไปหมู่บ้านคลองทราย ...นั่งรอกันแบบ อ้อล้อ..รอเธอ..คนแล้วคนเล่า นั่งลุ้นตัวโก่งว่าคนต่อไปที่จะเดินทางมาถึงเป็นใคร เพราะแต่ละคนฝึกงานตามต่างจังหวัด กว่าจะเดินทางกลับมาถึง ใช้เวลานานพอสมควร เรากะปุ๊ บินตรงจาก อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นถึงคุรุฯ ประมาณ ช่วงสี่ถึงห้าโมงเย็น ในขณะนั้นมีประชากรประมาณ สี่ถึงห้าชีวิต ที่นั่งดีดกีตาร์ ร้องเพลง..และที่ขาดไม่ได้คือ ดริ๊ง!!!!

เมื่อมาครบองค์ ออกเดินทันที..ขึ้นรถทัวร์ไปยัง กม.79 ซึ่งเป็นเส้นทางเขาสู่หมู่บ้านคลองทราย ลงรถทัวร์ด้วยเวลาประมาณหกโมงเย็น..และเดินเท้ากันเช่นเดิม ..


..เดินตามเส้นทางที่ลาดยางเพียง กม.แรกเท่านั้น ที่เหลือก็ฝุ่นแดง..

คลองทรายที่คิดถึงยังคงเหมือนเดิม..มินิมาร์ทเล็กๆ ที่เป็นเพียงห้องเล็กๆ กรุสังกะสี ประตูบานกระทุ้งสังกะสี เวลาเปิดร้านไม่มีเสียงติ๊งหน่อง มีแค่เพียงไม้ค้ำที่แข็งสักสองท่อน ก็หรูแล้ว ลูกเล็กเด็กแดง อยู่กันตามอัตภาพ เคยวาดฝันว่าวันหนึ่งอยากจะมีชีวิตที่สงบเงียบมีความสุขตามอัตภาพ เช่นดังชีวิตเรียบง่ายของคนที่นี่..แต่มันก็คือฝัน..

ผ่านหมู่บ้าน ทักทายทุกคนที่เคยรู้จัก เลยไปยังหลังฝาย นั่งชุมนุมตั้งวงเช่นเดิม..สาวๆสี่คนก็เมาดิบตามระเบียบแบบเนียนๆ เคาะแก้วเคาะขวดให้จังหวะตามเสียงเพลง แค่นี้เราก็มีความสุข ...

เช้าวันใหม่ นั่งล้อมวงจิ๊บกาแฟคุยกัน เริ่มหาสถานที่ท่องเทียว ที่ต่อไป..ที่แล้วที่เล่า ยังไม่น่าสนใจ สรุปได้ ที่ โขงเจียม "บ้านผมเองครับ" แมงเม่ารีบเสนอ..เป็นอันว่าทริปนี้สรุปที่โขงเจียม เราจะเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า ขอเสนอหน่อยได้มั้ย..เราอยากโบกรถไปใครจะไปกับเรายกมือขึ้น..สิ้นคำถามของเรา มองรอบวงเขาใจว่าต้องยกกันพรึบ!!! เนื่องจากดูสไตล์แต่ละคนน่าจะลุยๆ เงียบกริบ..มีอีกหนึ่งเสียงสนับสนุน ปุ๊เพื่อนรักนั่นเอง..มองต่อด้วยสายตาเว้าวอนเป็นทำนองว่าไม่มีใครไปกับเราเลยหรอ??? ได้ผลเฮ๊ะ สายตานี้ มีเพิ่มอีกสอง..เปิ้ลกับแต้ม "เราไปด้วย" ตกลงตามนั้นเรามีแนวร่วมแล้ว...จึงหันไปถามเจ้าของบ้าน ไม่ไปกับเราหรอ?? แมงเม่าตอบทันควันว่า "เราต้องไปกับกลุ่มที่ไปถึงก่อนเพราะเราเป็นเจ้าของบ้าน"

เช้าวันใหม่ เราสี่คน ต๋อย ปุ๊ เปิ้ล และแต้มเดินทางออกจากคลองทราย ประมาณเจ็ดโมงเช้า เริ่มโบกรถตั้งแต่ ศาลาปากทางเข้าหมู่บ้านคลองทราย ...รถกระบะหนึ่งคันผ่านมานั่นคือ รถโบกคันแรกของทริปนี้ "จากคลองทรายถึงโขงเจียม"

รถคันแรกพาเรามาส่งถึงตลาด กม.79 ขอบคุณมากมายสำหรับคนไทยน้ำใจงาม.. เดินมาเรื่อยๆ ตามถนนมือก็โบกไปทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถผ่าน..ในที่สุดรถคันที่สองก็จอดให้เราเป็นกระบะเช่นเดิม คราวนี้เราไปได้เกือบถึงโคราชเชียว ขอลงรอช่วงทางแยกบุรีรัมย์ และรถคันแรกที่พาเราเดินทางออกจากจังหวัดนครราชสีมา สู่ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นรถบรรทุกคันใหญ่ใหม่เอี่ยม ด้านหลังเต็มไปด้วย เครื่องสุขภัณฑ์ แต่ท่านเจ้าของรถมีน้ำใจ..แล้วเราจะนั่งไปยังไงเนี่ย ใจคิดทันทีที่เห็นสภาพรถที่จอดให้..(พี่มีน้ำใจแต่จะให้พวกหนูนั่งไปยังไงเนี่ยยยย)






แต่เราเข้าใจผิดถนัด คนขับรถบรรทุกเดินลงมาแล้วเปิดประตูด้านหน้าซึ่งมีแค๊ป ให้พวกเราทั้งสี่ขึ้นไปนั่งร่วมทาง..โดยมีแต้มนั่งเป็นเนวิเกเตอร์..เราเดินทางกันอย่างมีความสุข..ทริปนี้รู้สึกเหมือนมีเซนท์บางอย่างจึงหลุดปากบอกเพื่อนออกมาว่า"วันนี้เราต้องถึงโขงเจียมอย่างแน่นอน" เพื่อนๆ ฟังโดยมิได้ใส่ใจนัก..

เมื่อถึงอำเภอประโคนชัยซึ่งเป็นจุดหมายของรถขนสุขภัณฑ์แต่มิใช่จุดหมายของพวกเรา..ขอบคุณในน้ำใจของพี่สิบล้อเรียบร้อยจึงข้ามฝั่งมาเตรียมโบกรถคันต่อไป ซึ่งเซนท์อันแม่นยำของต๋อยก็บอกอีกว่า คันนี้เราต้องถึงอุบลฯแน่นอน...เพื่อนๆ ขำ และพยายามที่จะมองหารถทะเบียนอุบล เพื่อนให้เป็นไปตามที่เพื่อนบอก เปล่าเลย เราโบกรถได้เป็นรถกระบะสีน้ำเงินทะเบียน ระยอง ขนทุเรียนไปครึ่งรถ แต่ที่น่าอัศจรรย์ คือจุดหมายของเขา "อุบลราชธานี" เพื่อนเริ่มมองหน้า..อืมมม เซนท์แม่นยำมาก!!!

เป็นรถคันที่เรานั่งในระยะไกลที่สุดของทริปนี้ ทุเรียนที่เราเป็นศตรูกันมาตลอด ครั้งนี้มันเป็นมิตรมาก มันไม่ส่งกลิ่นมารบกวน มันแบ่งทีให้เรานั่งสบายๆ ท้ายกระบะ แต่เวลารถเบรคหรือเร่งเครื่องเราต้องคอยพูดคุยกับมันนิดหน่อยเพื่อความเป็นมิตรที่ดีซึ่งกันและกัน ไปจนถึงอุบล ขณะนั้น เริ่มมืดมองอะไรไม่ค่อยเห็น ท้องก็เริ่มหิว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงแวะหาอาหารรองท้อง ก่อนเดินทางเพื่อจะโบกรถต่อ จำได้ว่าที่หน้าโรงพยาบาล เราโบกรถได้อีกหนึ่งคันจุดหมายปลายทาง พิบูลมังสาหาร แต่ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้แรงผู้หญิงสองคนเริ่มถดถอย นายแต้มซึ่งเดินนำหน้ามองเห็นรถจอดห่างจากระยะที่ตนเดินเพียงไม่ถึงห้าเมตร ด้วยความหวังดี จึงรีบวิ่งปรี่เข้าไปเพื่อพูดคุยและขออาศัย รถเจ้ากรรมคันนั้นขับหนีไปทันที...ด้วยความตกใจของพวกเราจึงพากันดุแต้มว่าวิ่งไปทำไม..แต้มมองกลับมาด้วยแววตาสงสัยว่าทำไม??






โหยย!!! ก็จะไม่ให้เขาขับหนีได้อย่างไรล่ะคะท่านขา ก็เวลานั้นค่ำมืดแล้ว และการแต่งตัวของท่านก็...เสื้อยืดสีดำ สวมทับด้วยเสื้อทหารกางเกงยีน พร้อมแบกถุงกีตาร์หนังสีดำ มองเผินๆ เหมือนท่านแบกปืน..แล้วอย่างนี้ใครจะไม่กลัวท่านล่ะคะ..






แต้มงอนเล็กน้อย(แต่ตอนนั้นหัวยังไม่ล้านเท่าไหร่นะ)..ตอบสวนกลับมาทันที เออ เดี๋ยวโบกคืนให้ก็ได้ ว่าแล้วเขาก็ ทำการโบกรถทันทีที่มีแสงไฟสาดส่องมา และรถคันดังกล่าวก็ดูเหมือนว่าชะลอเตรียมจะจอดให้แต้ม ได้ทีดังนั้นจึงทับถมเพื่อนทันที "เห็นมั้ย โบกคืนให้แล้วไม่เห็นจะยาก" รถคันนั้นจอดจริงดังคาด ใกล้เข้ามาเราจึงเห็นชัดเจนว่า มันยาวผิดปกติกว่าที่เราเคยโบกได้ พร้อมมีป้ายติดข้างรถว่า "อุบล-พิบูลฯ" สรุป รถโดยสารประจำทางนี่เอง..แต่ทำไงได้เพื่อนโบกให้แล้วนี่ เป็นอันว่าทริปนี้ผิด concept เล็กน้อยมีรถโดยสารแถมมาหนึ่งคันโดยมิได้ตั้งใจรถคันนั้นพาเราไปถึงอำเภอพิบูลมังสาหาร เราเดินชมสะพานข้ามแม่น้ำมูลอันทอดยาว เพื่อรถรถโบกต่อไปให้ถึงโขงเจียมตามที่ตั้งใจ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ทุกคนถอดใจคิดว่าคงไม่ถึงในคืนนี้แน่นอน เพราะคงไม่มีรถผ่าน หรือมีก็คงไม่กล้าจอดให้คนผ่านทาง...แต่ต๋อยไม่..และยังมั่นใจให้สัมผัสที่หก..(เว่อร์เล็กน้อย..แต่มั่นใจมาก)

ปลายสะพานเป็นศาลาพักเล็กๆ ทั้งสามเตรียมตัวจะนอนที่ศาลานั้น มีเพียงเราที่คอยวิ่งมาที่ตีนสะพานทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถผ่าน..ในที่สุดสิ่งที่รอคอยก็มาจริงๆ รถกระบะต่อหลังคันหนึ่งแล่นผ่านมา และยอมจอดให้ผู้หญิงเซอร์ๆคนหนึ่งที่ยืนโบกอยู่ข้างทาง หลังจากที่รถจอดปุ๊แต่เราเข้าไปสอบถามโดยห้ามมิให้แต้มเดิมออกจากศาลาเด็ดขาด เพราะนี่น่าจะเป็นรถคันสุดท้ายของคืนนี้ซึ่งเราพลาดไม่ได้อีกแล้ว..และแต้มก็ต้องยินยอมโดยดี...ในที่สุดพวกเราทั้งสี่ก็ได้รับน้ำใจของรถคันใน ซึ่งกำลังเดินทางไปสู่อำเภอโขงเจียม

จากคนที่พูดเก่งเป็นต่อยหอยอย่างเรา พอเจอคนแปลกหน้ามากมายกลับนึกคำพูดอะไรไม่ออกที่จะชวนคนในรถคุยเพื่อผ่อนคลายเนื่องจากรถคันดังกล่าวมีผู้โดยสารอยู่เกือบเต็มคันรถ แต่ทุกคนมีนำใจแบ่งปันพื้นที่ให้พวกเราสี่คนเข้าไปเบียดเสียด หน้าที่นี้จึงกลางเป็นปุ๊ซึ่งเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เธอกลับทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี จนได้ได้ทราบถึงว่ารถคันนี้ถูกเหมาเพื่อพาไปหาหมอที่โคราชและกำลังเดินทางกลับ ซึ่งจุดหมายปลายทางของพวกเขา ห่างจากจุดที่เราจะไปเป็นระยะทางถึง 8 กม. ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเราแน่นอน เพราะเราเดินเข้าหมู่บ้านคลองทรายเป็นระยะทางถึง 20 กม.เรายังไม่หวั่น แต่นี่จิ๊บๆ

ด้วยอัธยาศัยอันดีของคนพื้นที่ประกอบกับปุ๊ทำงานได้ดี..เมื่อไปถึงบ้านของคนที่เหมารถไป และเป็นคนเดียวกันกับที่อนุญาตให้เราติดรถมาด้วย ข้าวปลาอาหารถูกหามาเลี้ยงทุกๆคน รวมถึงพวกเราด้วย แต่พวกเราขอตัวเพราะต้องรีบเดินทางต่อ เนื่องจากเราต้องเดินเท้ากันอีกถึง แปดกิโลเมตร..แต่ในที่เจ้าของรถจึงมาคุยกับพวกเราให้ทานข้าวกันก่อนแล้วเขาจะพาพวกเราไปส่งยังจุดหมาย..ขอบคุณมากมายสำหรับน้ำใจคนโขงเจียม...

คืนนั้นเราถึงโขงเจียมตามที่ตั้งเป้าไว้ ในเวลาประมาณเกือบห้าทุ่มเศษ แต่บ้านแมงเม่าอยู่ไหน..ไม่มีใครรู้ คืนแรกที่โขงเจียง กางเต้นท์ข้างศาลาริมแม่น้ำโขง หน้าที่ว่าการอำเภอ..ซึ่งคืนนั้นเราก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นมากมายทั้งคืน ไหนจะการไปเข้าห้องน้ำที่มีคนอยู่ ต้องรีบวิ่งไปหลบเมื่อเขาเดินออกมาโทษฐานไปดึงประตูเขา..ไหนจะประทัดจากไหนไม่ทราบดังข้างเต้นท์...






รุ่งเช้าคาดว่าแมงเม่าคงโทรแจ้งที่บ้าน คุณแม่เดินออกมาตามหาพวกเรา..เพื่อนๆของลูก..ซึ่งลูกยังมาไม่ถึง หน้าตาเพื่อนๆ แม่ก็ไม่เคยเห็น อาศัยเดาว่า ต้องเป็นพวกนี้แน่ๆ มากางเต้นท์นอนข้างศาลา...แม่เดินเข้ามาถามและพาเข้าบ้านไปพักผ่อน..โดยเจ้าของบ้านและเพื่อนพ้องที่นั่งรถไฟตามมาถึงตอนบ่ายแก่ๆ




ทริปนี้เราได้นอนไม่ซ้ำสถานที่เลย..คืนแรกเรานอนริมโขง พอถึงคืนที่สอง เราไปนอนริมแม่น้ำมูล ดูน้ำสีใสกันบ้าง หลังจากวันแรกชื่นชมน้ำโขงสีขุ่นกันมาพอประมาณ ส่วนคืนที่สามเรามานอนกันที่ลานหินฝั่งแม่น้ำสองสายมาบรรจบกันเรียกว่า "แม่น้ำสองสี" เล่นน้ำกันสามคน กระโดดไปมาระว่างแม่น้ำสองสายอยู่ดีดี มีอุนจิ (อึ) ลอยมาจากไหนมิทราบ วงแตก สลายตัว ยี้!!!!! ซึ่งช่วงเย็นเรานั่งเรือข้ามไปเที่ยวฝั่งลาว โดยเสียค่าเหยียบพื้นดินลาวคนละสิบบาท สิ่งที่ได้กลับมาก..เหล้าขาว...






คืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตกหนักมาก และทุกคนก็เมาเหล้าขาวลาว เราตื่นมารู้ตัวอีกที น้ำท่วมเต้นท์ กำลังจะท่วมถึงหูอยู่แล้วพอดีตื่นก่อน วิ่งไปปลุกเพื่อน อ้น ซึ่งเพื่อน ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่นจึงจำใจต้องปล่อยเพื่อนนอนให้น้ำท่วม โชคดีที่ฝนหยุดเร็วไม่อย่างนั้นเพื่อนคนจำน้ำตายในเต้นท์(แล้วถ้าบอกใครจะมีใครเชื่อมั้ยเนี่ย!! แต่นี่คือเรื่องจริง)

ความทรงจำเหล่านี้..สิบห้าปีแล้วสินะ..อยากรู้จังว่า โขงเจียมปัจจุบัน เป็นอย่างไร สวยงาม เจริญ มากขึ้นแค่ไหน บ้านทรงยุโรปโบราณที่เราทำเท่ห์ยังอยู่มั้ย??? มากมายคำถาม..ใครมีคำตอบเกียวกับโขงเจียมมุมปัจจุบัน แชร์ได้นะคะ..อยากเห็น อยากรับฟัง..อยากรับรู้....



วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทายาทคนแรกของบ้านสาวโสด

ภายหลังจากการปิดตำนานบ้านสาวโสด..เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก...เผลอแป๊บเดียว ป้าๆ น้าๆ แห่งบ้านสาวโสด ก้อได้ชื่นชม ทายาทตัวน้อย..หน้าตาเรียกได้ว่า ปากนิด จมูกหน่อย (ที่เหลือเป็นแก้มหมด) คุณพ่อตั้งใจสรรสร้าง.."สำเนาถูกต้อง" ออกมาเพื่อให่โลกรู้ว่า "ลูกผ้มมมม"....
ทารกน้อยเพศหญิงเป็นที่รักใคร่ยิ่งของลุง ป้า น้า อา..โดยเฉพาะคุณตาคุณยาย..เห่อ!!! เป็นที่สุด จะโกรธจะงอนแค่ไหน ทนได้เพื่อหลาน ถ้าจะต้องหนีออกจากบ้าน ก็จะขโมยหลานไปด้วย..ส่วนคุณพ่อไม่ต้องพูดถึง ใครจะคาดคิดว่าหนุ่มเจ้าสำราญอย่าง พี่เอก ธีรวัฒน์ ผู้ซึ่งมีเวลาส่วนใหญ่อยู่ในสนามกอล์ฟ (ยืนยันได้จากการได้ภรรยายังมาจากสนามกอล์ฟ) จะเป็นผู้ดูแล ลูกน้อยด้วยตัวเองเกือบทุกกระบวนการ..และลูกสาวเองก็ดูท่าทางจะรับรู้ได้ถึงความรักความห่วงใยที่คุณพ่อทุ่มเทให้ สังเกตได้จาก ลูกสาวจะไม่งอแงเวลาคุณพ่ออยู่ พอคุณพ่อคล้อยหลังออกจากบ้าน คุณลูกสาวก้อจะเริ่มโยเย ร้องไห้ จนบางครั้งดูคล้ายกับว่าเป็นความตั้งใจของคุณแม่และคุณยาย ที่ไม่อยากให้คุณพ่อออกจากบ้าน

ปลายเดือนที่แล้วได้มีโอกาสเข้าไป กทม. เพื่อไปร่วมถ่ายรูปแสดงความยินดี กับน้องเดียว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ พี่ติ๋มพี่จ๊อด เดอะแก๊งค์รุ่นใหญ่..นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ..น้องจบคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรร์มหาวิทยาลัย..เก่งมากมาย...

ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้เอง..ไปเยี่ยมหลานรักด้วย..คิดได้ดังนั้น..กริ๊งงงง!!! แน่นอนที่สุด เดอะควีนออฟเทเลโฟน ฮัลโหล!!! คุณแม่คนสวยของพวกเรานั่นเอง ซึ่งในขณะนี้กลายเป็นคุณยายเต็มตัว.."หนูจะไปค้างที่บ้านน้องโอ๊ต นัดแนะกับเหมียว เจอกันที่ กทม.นะคะ" ขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์กับคุณแม่อยู่นั้น แว่วได้ยินเสียงพี่เอกดังมาแต่ไกล "มาเลยๆๆ วันเกิดหลานพอดี" งงอยู่ชั่วครู่ มันครบปีแล้วหรอ??? เปล่า เลี้ยงอายุครบสี่เดือนพอดี...เฮ่อออ!!!! เลี้ยงวันเกิดหลานครบรอบสี่เดือน...

สองครั้งที่ไปเยี่ยมหลานช่วงจังหวะฉลองพอดีทุกครั้ง..ครั้งแรกที่ไป วันเกิดป้าต๋อย กะ ป้าหมวย..ฉลอง!!!...ครั้งนี้ วันเกิดหลาน..ครั้งหน้า..เราก้อฉลองกันอยู่ดี..อิอิอิ..โอกาสไหนๆ พี่ไทย ก็ฉลอง!!!!!

ก็เลยเก็บภาพหลานอายุครบสี่เดือนมาฝากกันด้วย...




กลับไปเฮฮาที่หน้าบ้านเดอะแก๊งค์

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความเอื้ออาทรไม่เคยจางหาย...

ช่วงเวลาหนึ่งของเด็กผู้หญิงพลัดถิ่น ที่เข้ามาทำงานที่สนามกอล์ฟครั้งแรก..มาโดยไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาสมัครงาน..เพียงโทรคุยรายละเอียดกับผู้จัดการฝ่ายก่อสร้างเท่านั้น..ซึ่งท่านต้องการรับสถาปนิกโครงการ ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางปาเขา ไม่มีแสงสีได้ในระยะเวลานาน ท่านจึงได้เชิญชวนให้มาดูบรรยากาศของที่นั่นก่อนค่อยตัดสินใจ..เสื้อยืดกางเกงยีนส์พร้อมลุยเดินทางมาพร้อมกับเพื่อนสาวอีกหนึ่งคน..แต่ไม่คาดคิดว่าวันนั้นคือวันที่ต้องสัมภาษณ์งาน..(ก้มลงมองดูการแต่งกายสำหรับสัมภาษณ์งานของตัวเอง..โอ้!! พระเจ้าช่วย)
ด้วยความเอื้ออาทรของคุณเกรียงศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายก่อสร้าง(ซึ่งตอนหลังทุกคนสงสัยว่าตกลงมันเป็นเจ้านายกะลูกน้องหรือพ่อกะลูกเนี่ย!! ทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง..แต่รักพ่อนะ).."สัมภาษณ์เลยก้อแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลาไม่เสียค่ารถหลายรอบ" หลังจากการสัมภาษณ์ยังมิได้ตัดสินใจ ท่านก้อมิได้เร่งรัดใดๆ ด้วยเกรงว่า ผู้หญิงตัวคนเดียวเดินทางมาจากเมืองแห่งแสงสีเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่กลางป่ากลางเขา..จะอยู่ได้สักกี่วัน??..เดินออกจากห้อง ผู้จัดการด้วยอาการ 50/50 ..ทิวทัศน์โดยรอบ..ความงดงามแห่งหุบเขาและหญ้าสีเขียว..เปอร์เซ็นต์เริ่มพุ่งขึ้นเป็น 60 เดินผ่านคลับเฮ้าส์ออกไปในใจ เริ่ม 70 พอก้าวผ่านซุ้มกล้วยไม้ซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อจากคลับเฮาส์ไปสู่โรงแรม..ความร่มรื่นสวยงามของพรรณไม้นานาพันธุ์ ความสงบเงียบปราศจากความพลุกพล่านของรถราในเมืองหลวง..วินาทีนั้นเอาเด็กผู้หญิงคนนั้นหันหลังให้ความศิวิไล ของในเมืองมาเลือกป่าเขาร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม..

ชีวิตการทำงานในตำแหน่งสถาปนิกเต็มตัวเป็นครั้งแรก..ซึ่งที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่ทำงานที่ชอบแต่ไม่ตรงกับสายงานที่ได้ร่ำเรียนมามากนัก..ที่นี่เอง ความเอื้ออาทรมากมายที่ได้รับ จากหลากหลายผู้คนที่รู้จัก..ทำให้รู้สึกว่าเกิดมาค่อนข้างโชคดี เริ่มตั้งแต่เพื่อนคนแรกของกรีนวัลเล่..ป๊อบ เลขาหน้าห้อง ผู้ซึ่งพาชมสถานที่ทำงานโดยรอบด้วยความเป็นกันเอง พี่โต เจ้าหน้าที่การตลาด พี่ชายที่คอยเป็นเพื่อน ให้คำแนะนำ ปลอบใจในบางครั้ง..ที่ลืมไม่ได้เด็ดขาด..พี่ภาณุ วิศวกรไฟฟ้า พี่ชายที่แสนดี ผู้คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำให้คำปรึกษา..ระบาย..เกือบทุกเรื่อง นอกจากนี้ยังมี เดอะฮีโร่ วีรบุรุษในใจเสมอ พี่มานิตย์ โฟร์แมนหนุ่ม ที่ 'พ่อเกรียง จัดให้เป็นบัดดี้ คอยแนะนำช่วยเหลือในทุกๆด้านเกี่ยวกับงานก่อสร้างทั้งหมด (รวมถึงคอยไกล่เกลี่ยเวลาน้องทะเลาะกะพ่อด้วย ซึ่งเกิดบ่อยมาก)..ความเป็น เดอะฮีโร่ เกิดขึ้นเมื่อเข้ามาทำงานที่นี่ได้สองสามวัน ยังไม่รู้จักใคร เย็นๆก้อจะมานั่งทำมิวสิค ริมบ่อตกปลา..เหงา..คิดถึงบ้าน..คิดถึงเพื่อน..แต่อันนี้ชิวชิว..แต่ที่ไม่ชิวนี่สิ..สองทุ่ม ไฟฟ้าดับ ทั้งสนามเงียบสงัด..มืดสนิท..แล้วเราจะอยู่อย่างไรท่ามกลางหุบเขา..ความกลัวเริ่มเกิดขึ้นในใจอย่างมากมาย ที่พึ่งสุดท้าย..หยิบโทรศัพท์..พี่คะ..ไฟดับ!! สิบนาทีต่อมา มีเสียงแตรรถยนต์ดังอยู่หน้าอาคารที่พัก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินมาพร้อมกับไฟฉายและเทียนในมืออีกหนึ่งกำ..วันนั้นผ่านไปด้วยความรู้สึกขอบคุณเดอะฮีโร่..

การเริ่มต้นงานใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นด้วยความช่วยเหลืออันดีของทุกๆคน ทุกเช้าเรากะพี่ชายทั้งสองคนคือ พี่ภาณุ และพี่มานิตย์จะมานั่งดื่มกาแฟปรึกษางานกัน โดยมีตัวป่วน คือป๊อบคอยนั่งก่อกวนอยู่ข้างๆ เสียงที่สูงปรี๊ดดดด "เครียสอีกแล้ววววว คุยเรื่องงานทีไรเครียสทุกที เลิกเครียสๆๆๆๆ ไปจดหวยดีกว่า)
สองเดือนผ่านไป เราได้ย้ายขึ้นไปอยู่บ้านพักที่เพิ่งต่อเติมเสร็จ "บ้านสาวโสด" ที่นี่คืออีกความอบอุ่นของคำว่า 'บ้าน 'ครอบครัว หากมีวันใด เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ในการทำงาน อย่างน้อยวันนี้เรารู้สึกว่ามีบ้าน มีครอบครัวรอเราอยู่..พี่ น้อง คุณแม่(แม่เพื่อนก้อเหมือนแม่เรา ยืมใช้ก่อน) ครอบครัวใหม่ของเราอบอุ่นและมีความสุขมาก เย็นๆ ที่บ้านจะทำอะไรทาน เปิดคอนเสริต ร้องคาราโอเกะลั่นเขา..ไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะภายในรัศมี 1 กม.กลางป่าเขา..ไม่มีใคร นอกบ้านจากบ้านเรา..(แต่เดี๋ยวนี้มี ป้อม รปภ. และเพื่อนบ้านมากมายเสียใจด้วยนะคะคุณโจรรู้ช้าไปแล้วววว)

นอกจากพ่อ พี่ชาย เพื่อน ในแผนก เรายังมีความหลังดีๆ กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ต่างแผนกมากมาย..ไม่ว่าจะเป็น ประชาสัมพันธ์สาวสวย ฝ่ายขาย ห้องอาหาร จัดสวน รวมถึง ฝ่ายสนาม โดยเฉพาะ จักรพงค์ น้องรักหนุ่มเจ้าสำอางค์ที่ มั่นใจในตัวเองเหลือเกิ๊นนนน!!! ทำงานตากแดดกลางสนาม แต่ครีมนี่ได้ข่าวว่ามิได้ขาด..ล่าสุดมีสายรายงานมาว่า"หน้าขาวขึ้น" แต่หล่อกว่าเดิมหรือเปล่าน้าาา..ไม่ได้เจอนานแระ..พ่อหล่อเลือกได้..แล้วก้อพี่วัต เจ้าของ"สุดทางรัก"(ศาลาหน้าบ้านนะไม่ใช่ร้านอาหารที่พัทยาหรอก) เจ้าของสโลแกน"ถึงพี่จะดำ แต่พี่ก็ดำฟอร์เอฟเวอร์นะน้อง" ผู้คอยหาต้นไม้ดอกไม้ประดับมากมายมาช่วยแต่งสวนหลังบ้าน(บ้านสาวโสด) ไว้เป็นที่ดริ๊งค์ หลังเลิกงาน อีกคนน้องไผ่ ชายหนุ่มร่างผอมบางสูงโปร่ง..พ่อหนุ่มแสนดีโรแมนติก..ของสาวๆๆๆๆ มากมาย(ซึ่งตอนนี้ได้ข่าวว่ามีกิจการเป็นของตัวเองแล้ว..ขอแสดงความยินดีด้วยนะจ๊ะน้องรัก..ขอให้ร่ำขอให้รวย..แล้วจะเข้าไปอุดหนุนนะคะ)..ที่กล่าวมาแล้วทั้งสามคน..มั่นใจในตัวเองทั้งน้านน หล่อเกิ๊นนนน!! แต่ทั้งสาม มีความน่ารัก เอื้ออาทรต่อกันเสมอมา..จนถึงปัจจุบัน (มีวีรกรรมมากมายของเราสี่คน ไว้นึกอะไรฮาๆ ได้จะมาเผาพวกนายต่อ)..ผ่านจากในสนามลัดเลาะออกทางสนามไดร์ฟของระยองกรีนวัลเล่ จะโผล่ออกหน้า โรงเรียนนานาชาติ จากนั้นก็เลยออกไปถึงบ้านพักในแค้มป์ ที่ซึ่งมีไว้ตามหาเวลาหิว..รวมทั้งเวลาเหงาด้วย..บ้านพี่ชายพี่สาว "ครอบครัวตัวน้อย" พี่น้อยชายและพี่น้อยหญิง..ทั้งสองคนใจดีมีน้ำใจกับน้องผู้หิวโหยเสมอ อย่างน้อย ไข่เจียวก็ยังดี แต่ที่เด็ดๆ สุดของที่นั่น ลาบเหนือ พี่น้อยหญิงเป็นสาวลำปาง ผู้มีฝีมือทางด้านการทำอาหาร โดยเฉพาะกับแกล้ม เรากะจักร เป็นแขกประจำของที่นั่น จนรู้สึกเหมือนบ้านตัวเอง (คือไปถึงก้อทะลุครัว อิอิอิ) พวกเราจะชอบตั้งวงกันที่นั่น พี่น้อยเล่นกีต้าร์ พวกเราจะร่วมร้องเพลง วันดีคืนดี พอได้ที่ก้อจะเริ่ม "เล่นกอล์ฟลานกว้าง เป็นล้านๆ ตารางวา แค่มีเจตนาให้ลงหลุมเล็กนิดเดียว พ่อเจ้าประคุณ สนุกกี่คนกันเชียว ทำท่าสุดแสนหวาดเสียวเมื่อลูกวิ่งลงหลุมรู...." เป็นเนื้อเพลงท่อนหนึ่ง "เขาใหญ่2" ของน้าหมูพงษ์เทพ ที่ร้องกันแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ...เจ้านายจะได้ยินมัั้ยเนี่ย!!!...ก็เราทำงานในสนามกอล์ฟอ่ะ...

นอกจากเพื่อนๆ และคุณพ่อ ที่ได้กล่าวมาแล้ว เรายังได้รับความเมตตาจากน้องสาวเจ้าของสนามซึ่งเข้ามาเป็นเจ้านายเราในระยะหนึ่ง คุณเปิ้ล ให้ความรัก เอ็นดูเรามาก..เรามีกิจกรรมร่วมกันเสมอ ทานข้าวบ้าง ช้อปปิ้งบ้าง แต่ไม่นานท่านก้อเดินทางไปอยู่เชียงใหม่..ทิ้งเราไว้ให้น้องสาวคนเล็กดูแลต่อ..คนนี้สิรักมากมาย..คุณแม่นุ้ย คุณพ่อโอภาส ความผูกพัน มีมากมาย..ถึงปัจจุบัน เรายังเข้าไปเยี่ยมเยือนท่านมิได้ขาด..ตอนนี้ท่านดูแลกิจการร้านอาหาร หลากหลายสไตล์ ไทย จีน ญี่ปุ่น อิตาเลียน T&R Tee Time@St. Andrew เชิญแวะไปสัมผัสบรรยากาศ สวยงาม ท่ามกลางธรรมชาติ ฟังเพลงไพเราะ เพราะที่นั่นมีดนตรีขับกล่อมท่านในช่วง ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ประชาสัมพันธ์ให้คุณแม่ไว้ตรงนี้เลยนะคะ..

คนนี้ที่ลืมไม่ได้..พี่สาวพี่ชาย..คู่ขวัญนักร้องนักดนตรี ที่มีความน่ารัก อบอุ่น เอื้ออาทร ทุกสิ่งทุกอย่างรวมไว้ที่พี่ทั้งสองคน..อบอุ่นแค่ไหน..แค่ที่พี่ทั้งสองคนสามารถทำให้ คนรักชีวิตโสดทั้งหลาย..ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มโสดเจ้าสำราญ หรือสาวโสดอย่างพวกเราๆๆ..มีความรู้สึกอยากมีใครสักคน อยากมีคนอยู่ข้างๆ ดูแลกันไปเหมือนพี่ทั้งสองคนที่ดูแลกัน..พีสาวตาไม่ค่อยดี จะเดินไปห้องน้ำหรือไปไหนมาไหนจะต้องมีพี่ชายเดินประคองอยู่ข้างๆ มิได้ห่าง..จะไม่ให้พวกเราอิจฉา อยากมีคู่บ้างได้งั๊ยยย!!! แต่ทั้งสองคน มิได้แค่ดูแลกัน..เรากะพี่หมวยสามขวด..คือภาระ ที่พี่แกจะต้องดูแลเหมือนจะตลอดไป..อิอิอิ (พี่บอกว่ามันไม่มีแฟนกันก้อดีแล้ว..จะได้มีเพื่อนดื่มกันไปนานๆ เพราะถ้ามันมีเดี๋ยวมันจะหายไป)สองคนนี้ คือ "พี่จ๊อด พี่ติ๋ม" พี่ชายพี่สาวที่แสนดี... อีกหนึ่งคนที่ลืมไม่ได้เช่นกัน..ไปสนามกอล์ฟต้องไม่ลืมแวะหา..และจะต้องเม้าท์อยู่ที่นั่นยาวไปถึงค่ำ ..จนถึง คนบางคนกระแนะกระแหนว่าตกลงไปหาเขาหรือไปหาหล่อนกันแน่..คุณนายนก คุณนายผู้ซึ่งวันๆ วุ่นวายอยู่แต่กับหาอาหารให้ลูกและสามี และมีปัญหาแต่เรื่องแม่บ้าน!!! เธออยู่คฤหาสต์ใหญ่โตหรูหรา..แต่วางตัวเป็นแจ๋ว!! ถ้าใครไม่รู้จักเธอ จะไม่มีทางทราบว่าเธอคือคุณนายเจ้าของบ้าน เธอจะแต่งตัวตามสบายไม่มีมาดใดใดทั้งสิ้น..วีรกรรมเกี่ยวเนื่องกับการแต่งกายของเธอนำมาเล่าขำกันได้ไม่รู้จบมีมากมาย เช่น การนำอาหารไปส่งสามีถึงที่ทำงาน แต่ด้วยการแต่งกายของเธอ และ อาจจะด้วย รปภ.ใหม่หรืออย่างไร..เขาไม่ยอมให้เธอเข้าไปในบริษัท ขอแลกบัตรเธอก็ให้..แต่ไม่ รปภ.ยังซักไซ้ต่อถึงธุระ การมาของเธอ..และไม่ยอมให้เธอเข้าสักที ในที่สุดเธอ เธอเบื่อที่จะรอต่อไปจึงเปิดเผยตัวว่าสามีเธอเป็นใคร..เท่านั้นล่ะค่ะ เพื่อนๆ ขา..รปภ.แทบช็อค!!! ไม่ยอมเปิดประตูให้ภรรยาท่านผู้อำนวยการบริษัทเข้า..จากวันนั้นเป็นต้นมา..รถของเธอถูกจดจำไว้มิลืมเลือน..ไม่เคยต้องแลกบัตรใดใดทั้งสิ้น อีกต่อไป...

เขาเหล่านี้ที่กล่าวถึง คือบุคคลผู้ซึ่ง..อยู่ในความทรงจำที่ดี..เสมอ..และตลอดไป..ผู้ซึ่งมีความเอื้ออาทรให้ไม่เคยจางหาย..ไปเจอเมื่อไหร่ก้อรู้สึกดี...รักมากมายค่ะ




กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....


วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นินทาระยะเผาขน กับ ระยอง2

ระยอง2 ที่ว่านี้..เป็นรหัสพื้นที่ของหน่วยงานภาค รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง..มีใครบางคนฝากข้อความขอร่วมแก๊งค์ด้วย..ที่จริงแล้ว..ทุกคนอยู่ในแก๊งค์..ของความทรงจำในวันวานอยู่แล้ว..เพียงแต่จะถูกหยิบขึ้นมานินทาเมื่อไหร่เท่านั้นเอง..แต่ครั้งนี้ที่ขึ้นหัวเรื่อง นินทาระยะเผาขน..มีความนัยหมายถึง..หลายคนในที่นี้รู้ตัวล่วงหน้าแบบตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าจะโดนแบบไหนเมื่อไหร่..และทุกคนยังอยู่ใกล้ๆ นี่เอง..เดอะแก๊งค์จะโดนยำเมื่อไหร่..ง่ายนิดเดียว อิอิอิ...




เราเริ่มต้นรู้จักแก๊งค์นี้ ที่ร้านลาบไก่เพชรบูรณ์ ..ของคุณน้องโอ๊ต ที่ เปิดกิจการเฉพาะกิจขึ้นมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ (แต่รักฉันยาว..หุหุ)แก๊งค์นี้เป็นแขกประจำร้าน ที่มานั่งทาน..จนกระทั่ง..ทั้งเจ้าของร้านและเด็กเสริฟได้ร่วมโต๊ะด้วย..เพราะความคุ้นเคย..พี่ชายหัวหน้าแก๊งค์ที่มาเป็นผู้ใหญ๋ใจดี..น่ารักกับน้องๆ ทุกคน..พี่บูลย์..จะผลัดเปลี่ยนพาน้องๆ ในระยอง 2 มานั่งที่ร้านจนแก๊งค์ บ้านสาวโสด รุ่นสุดท้าย ได้รู้จักเกือบทั้ง หน่วยงาน..เริ่มจากวันแรกที่เราเจอ..แต่รู้สึกจะเป็นครั้งที่สองที่พี่ๆ มานั่งที่ร้าน พี่บูลย์ มากับ หอสร หนุ่มโสด ผู้ซึ่งหลงใหล ตะเกียงเจ้าพายุและบ้านสไตล์คันทรีและพี่ปื๊ด หนุ่มใหญ่เจ้าเสน่ห์ (ได้ข่าวว่าตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่ง ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ) สักสามทุ่มได้ หอสรก้อกลับก่อนเพราะติดธุระ..วันนั้นเรารับหน้าที่เด็กเสริฟ เนื่องด้วย ถูกอุปโหลกให้เป็น "มือชง มืออาชีพ" เพราะก่อนหน้านั้นเจ้าของร้านคือน้องโอ๊ต ผู้ซึ่งไม่เคยดื่มเหล้าเลย แต่จำเป็นต้องบริการลูกค้า ตามหน้าที่ ถูกพี่ๆ แซวว่า ชงเหล้าหรอ พี่นึกว่าเหยาะน้ำปลา"?? สุดท้ายเหลือเพียงสองหนุ่มนั่งดื่มยันร้านปิด..ที่ไม่ลืมอีกคนคือ ป๋าโหนด เพื่อนรักของพี่บูลย์ อันนี้หมอดูประจำ ป๋าจะทักดวงจากโหงเฮ้งก่อน (เหมือนเวลาเดินตามห้างหรือตามงานเทศกาลต่างๆ จะมีคนเดินมาทักเพื่อให้เราอยากดูดวงอ่ะ) พี่วิรัต คู่กัดที่สมน้ำสมเนื้อของเราเอง พี่ต้อมพี่ชายใจดี ที่ชอบซื้อผลไม้มาฝากเด็กๆ และคุณแม่ ที่ร้านเป็นประจำ อานนท์วิศวกรณ์หนุ่มหน้าแขก กับ พี่เกียรติ นายช่างหญ่าย..เจ้าของโปรเจ็ค บ่อน้ำร้านลาบไก่..เฮียหด..เอ้ยยย เหียโหด..ที่จริงพี่เขาชื่อ พี่รุ่ง เจ้าของหน้าตาดุและปากร้าย จนเราเกิดความรู้สึกอยากล้มโต๊ะลูกค้าในวันนั้น ท้ายที่สุดได้จัดเจ๊หมวยคนสวย ตอนเมาเบียร์ไปปราบ..ปากคอทันกัน..สยบได้ในบัดดล..นนท์ตี๋ หนุ่มน้อยไม่ค่อยพูด..และลืมไม่ได้เลยสำหรับแขกประจำที่มาสั่งกระเพาไก่ในทุกค่ำคืน บอย..ท้ายสุดน้องนุชสุดท้องที่เพิ่มเข้ามาทำงานใหม่ได้เพียงสองเดือนพี่ชายก้อไม่ลืมที่จะพามาด้วย..คุณใหญ่..

บ่อยครั้งที่เราเปิดคอนเสริต์กันจนร้านปิดและแขกอื่นหนีหมดเนื่องจากอาจทนฟังเสียงเพลงอันไพเราะของเราไม่ได้..นอกจากนั้นก้อมีบ้างที่แก๊งค์สาวโสดหนีแม่ไปเที่ยว ไปกิน..กับแก๊งค์นี้(เว็บนี้แม่คงไม่ได้อ่าน)

ที่ประทับใจไม่มีวันลืมสำหรับแก๊งค์นี้ คือ...วันเลี้ยงอำลาตำแหน่งของอะฮั้นเอง..(อุ๊ยเหมือนนางงามเรยย) วันเลี้ยงส่งเราออกจากสนามกอล์ฟ เพื่อไปเผชิญสิ่งใหม่ งานใหม่ที่แตกต่าง..offshore...

ระยอง2 โดยการนำของพี่บูลย์ พี่ต้อม อานนท์ ใหญ่ พี่เกียรติ (ผู้ซึ่งมาส่งเราทุกคนที่ร้านแล้วหายไปเพราะติดธุระ) เราไปกับกลุ่มเพื่อนสาวจากสนามกอล์ฟอีกสี่ห้าคน..ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว..ระยองสอง มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสนามกอล์ฟ แต่การเลี้ยงส่งครั้งนี้ ประทับใจที่สุดและอบอุ่นที่สุดในความรู้สึกของเรา..พี่ๆ มีคำกล่าวลา คำสอน มากมาย ให้น้อง ที่เพิ่งรู้จักและสนิทสนมได้เพียงไม่นาน ท้ายที่สุดของงาน..พี่เกียรติกลับจากทำธุระมาร่วมงาน พร้อมดอกไม้ช่อใหญ่(ที่แท้ ระยอง2 มีเซอร์ไพร์ นี่เองคือธุระสำคัญของพี่เกียรติ) น้ำตาซึมสิคะ..พูดไม่ออกแม้คำขอบคุณก้อต้องใช้เวลาสักพัก..เพราะความตื้นตัน..(ตกลงว่าชั้นลาออกจาก ระยอง2 หรือลาออกจากหนามกอล์ฟกันแน่เนี่ย%????)

จากกันมานาน..แต่ยังคิดถึงแก๊งค์นี้นะคะ....มีอะไรยังติดต่อกันได้ เสมอ..ฝากข้อความถึงกันได้..แล้วเจอกันวันขึ้นบ้านใหม่พี่บูลย์นะคะ..ขอฝากคำอวยพรไว้ด้วย..แบบที่ขายตามป้ายน่ะ.."อยู่แล้วรวย อยู่แล้วดี มีเงินใช้เยอะแยะนะคะ..พี่ชาย"


กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....


วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

'ถาปัด กลับบ้าน

เป็นเวลายาวนาน..ที่เราจบการศึกษา..แล้วแยกย้ายกันไป..แทบจะไม่เคยได้เจอกันด้วยจำนวนเพื่อนที่มากมายขนาดนี้ ด้วยปัจจัยระยะทาง..ก้อเหมือนดังคัดเอาท์ของเรา"ทุกถิ่นหลากไกล เพื่อหวังสิ่งใด เพื่อไขว่เพื่อคว้า..รวมสู่แดนที่ หากพลังยังมี เป็นหนึ่งได้ว่า..จะรอเจ้าพร้อม สู่เหย้าเฝ้ามอง พี่น้องกลมเกลียว.." วันนี้คงมาถึงแล้วสินะ..'ถาปัดกลับบ้าน..
เหตุที่มารวมกันได้มากมายขนาดนี้ น่าจะประเด็นหลักอยู่ที่ มุทิตาจิต อาจารย์แม่อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา
อาจารย์นิตยา พันธ์รัตนอิสระ
บ้านเก่าของเรา
ลงทะเบียน
บอร์ดกิจกรรม..เราจะหาอดีตได้จากที่นี่
บรรยากาศ
เมื่อดนตรีเริ่ม

แต่พวกบ้านยังถ่ายรูป (ไม่เจอกันนาน)


พวกเราเอง "ฟ้าสาง"

รุ่นนี้ที่ว๊ากเรา (ไอน้ำ)
รุ่นที่เราไปว๊าก "กระจกเงา"
รุ่นต่อจากเรา
รุ่นก่อนเรา

เริ่มจากในงาน ไปจบที่ร้าน แถวชลประทาน ..พี่โจ้..เป็นหัวหอกนำทีมนัดรวมรุ่นอีกที(จนป่านนี้ อ้ายยยประธานโจ้มันอยู่ไหน) รายงานตัวด้วย..งานเลี้ยงรุ่น 20 ปี ฟ้าสางมันก้อไม่ไป..(ประจานซะเลย)



จบลงด้วยดี..อ้อลืมเผา ประธานปุ๊ไม่ได้โผล่ตรงนี้เพราะมันเมานอนไร้สติอยู่ในรถ..โทรเรียกรถพยาบาลส่วนตัวรับกลับไปอย่างทุลักทุเล....

กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

20 ปี ฟ้าสาง

งานนี้ผ่านไปได้ด้วยความ




งานนี้ผ่านไปได้ด้วยความทุลักทุเลพอสมควรเนื่องจากกว่าจะรวมตัวกันได้ผ่านไปค่อนคืน

แต่ผลออกมาเป็นที่น่าประทับใจ หวังว่าครั้งต่อไปจำนวนเพื่อนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ครั้งนี้ขอสดุดี "เพื่อนหวาน" ได้ใจทุกคนไปครอง เนื่องจากเดินทางออกจากร้อยเอ็ดเกือบหนึ่งทุ่ม มาถึงงานประมาณเที่ยงคืนกว่า....


หลังจากนั้นเพื่อนแหกปาก.. อ้อล้อ...รอเธอ...รอฟ้าสางทุกคนมาเจอกันในครั้งต่อๆไป










เริ่มต้นด้วยการไปทำบุญที่วัดถ้ำเขาวง..(นึกว่าจะดีหน่องมันเพิ่งสารภาพว่ามันอยากถ่ายรูป)


นั่งร้อนๆหนาวๆ หน้าพระประธาน


เจ้าแม่กวนอิม หน้าถ้ำ


ปากทางเข้าถ้ำ


เริ่มได้ที่..เฮฮา..


เฮียแป๋งมันเริ่ม.กาม..


หน้าตาแก๊งค์นี้..





กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....

ปิดตำนานบ้านสาวโสด

จากที่มาในตอน"จากชาวอนุรักษ์สู่เด็กหนามกอล์ฟ" ที่นี่ เราก้อมีอีกตำนาน ..."บ้านสาวโฉด..เอ้ยยย..โสด" เราได้ใช้ชีวิตแบบใหม่..กับแก๊งค์ใหม่..ที่มีแต่ผู้หญิง..ก้อเลยทำให้ต้องกลายเหมือนผู้ชายคนเดียวในบ้าน..เรารู้จักผู้หญิงมากขึ้นก้อที่นี่เอง..รู้จักแบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน..ไม่เคยรู้ว่า เวลาผู้หญิงอยู่ด้วยกันเยอะๆ เขาคุยอะไรกัน..เขาปรึกษาหารือเรื่องความสวยความงามกันอย่างไร? ฯลฯ แต่การอยู่กับเพื่อนสาวทำให้เราเริ่มกลายพันธุ์..ความเป็นผู้หญิงในตัวเริ่มผุดขึ้นมาทีละน้อย..เล่าถึงตรงนี้..อย่าคิดว่าเราเป็นกระเทยนะ..ผู้หญิงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ย่ะ...เพียงแต่ที่ผ่านมา..ด้วยสภาพแวดล้อมเรื่องเรียน..เรื่องงาน..กลืนความเป็นผู้ชายไว้ในตัวมากไป..ในวันนี้ความเป็นหญิงมันถูกเพื่อนแก๊งค์นี้ดึงออกมา จะว่าไปแล้ว ที่จริง เราเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงก้อตอนนี้เอง...เมื่อก่อนตอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ แต่ละคนพักอยู่ห้องพักไม่ไกลกันนัก บ้านที่เราอยู่กันถูกต่อเติมมาจากออฟฟิตเก่า โครงเหล็กใหญ่โต ชั้นล่างมีห้องนอนสี่ห้องห้องครัวและห้องน้ำอีกสองห้องส่วนชั้นบนเป็นพื้นที่โล่งไม่มีฝ้าภายนอก ซึ่งชั้นนี้เป็นที่อยู่ของนกพิราบ และจะตื่นกันแต่เช้าส่งเสียงหนวกหูรบกวนคนชั้นล่างเสมอ (ค่าน้ำค่าไฟก้อไม่ช่วยจ่ายยังกล้าส่งเสียงอีก)..อยู่กันห้าคน..สี่สาวกะอีกหนึ่งแม่..แม่ของพวกเราทุกคน(จะว่าแก่ไม่ได้เดี๋ยวคุณนายโกรธ) เราอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่สมัยแรกของบ้าน..ย้ายเข้าบ้านเป็นคนแรก..จนผ่านเพื่อนไปถึงสี่รุ่น..เปิ้ล หน่อย ต๋อย โอ๊ต รุ่นที่1 เราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันที่บ้านฉาวโฉด เอ้ยย!! สาวโสดพูดผิดเรื่องเลย แรกๆ ก้อกลัวนะ เพราะระยะทางประมาณ 1 กม.โดยรอบมีเพียงบ้านเรา ตั้งอยู่ท่ามกลางสนามกอล์ฟ รายล้อมด้วยภูเขา..กลางวันก้อดูบรรยากาศดี เป็นที่อิจฉาของใครหลายคน แต่กลางคืนนี่สิ..น่ากลัวมากมาย..ทุกคนในบ้านเข้ากันได้ดี..โอ๊ตเป็นคนเหมือนจะดูหยิ่งๆ ไม่ค่อยพูดแต่ที่จริงแล้วก้อติงต๊องพอประมาณหากสนิทกัน มีน้ำใจมากมายให้ทุกคน ส่วนหน่อย เป็นคนใจดีมีน้ำใจ ทำงานเก่ง แต่ชีวิตเธอจะเศร้าหมองร้องให้ทันทีที่มีแอลกอฮอล์เข้าสู่เส้นเลือด แม้เพียงสปายแก้วเดียว ส่วนเปิ้ล สาวคหกรรม ทำงานเป็นกัปตันห้องอาหารที่คลับเฮาส์ คนนี้สวยแบบคุณนาย มองดูเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้วเจ้าระเบียบ แต่ที่จริงก้อต๊องไม่แพ้กัน..ส่วนคุณแม่ผู้น่ารัก เป็นแม่ของน้องโอ๊ต คุณแม่มีฉายาว่า"ควีนออฟเทเลโฟน" คุณแม่อยู่บ้านคนเดียวเวลาพวกเราไปทำงาน ท่านคงเหงา วันๆ จึงอยู่กับโทรศัพท์ คุณแม่ใจดีน่ารัก เข้ากับพวกเราได้ทุกคน เพราะคุณแม่จะทันสมัยมาก (แม้แต่เราเข้าเท็ค..คุณแม่ไม่มีพลาด) ทุกคนในบ้านเข้ากันได้ดี.. เมื่อเปิ้ลย้ายที่ทำงาน..น้องอ้อ จอมโก๊ะ...เข้ามาอยู่แทน บุคลิกส่วนตัวของน้องอ้อมีอะไรแปลกๆ แต่น่ารักดีเช่น..เธอจะซักผ้า เธอก้อจะเอาผ้าทุกใส่ลงในกะละมัง พร้อมด้วย เทผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม และน้ำลงพร้อมกันหมดเลย..แล้วก้อนั่งรอ..น้องเค้าเข้าใจว่าเหมือนกันกับเครื่องซักผ้า..โธ่ กะลังมังวิเศษ มีช่องแยกผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย..ต่อมาเมื่อน้องอ้อ..ออกไปก้อเป็นน้องเหมียว คนนี้ช่างเอาอกเอาใจ พูดจาหวานหู..ผ่านจากน้องเหมียว..ล่าสุดก่อนที่เราจะอำลาจากที่นั่นก้อเป็นพี่หมวย..สาวสวยวัยย่างสี่สิบ..ตอนนั้นหล่อนมีฉายาว่า "หมวยสามขวด" หมายถึง เธอชอบดิ่มเบียร์เป็นประจำ เรียกได้ว่า ต้องวันละสามขวด..ที่อยู่ยงคงกะพัน..ก้อคงเป็นเรากะน้องโอ๊ต..เรียกได้ว่า"สี่แผ่นดิน" ตอนนั้นที่บ้านเหลือกันอยู่สี่คน เรา โอ๊ต พี่หมวย และคุณแม่ ต่อมาเราไปทำงานที่ใหม่ คนต่อไปเป็นพี่หมวย..ย้ายไปทำงานที่อื่นเช่นกัน..แต่น้องโอ๊ตและคุณแม่ยังอยู่ ทั้งเราและพี่หมวยก้อยังกลับไปสังสรรกันเสมอ จนกระทั่ง น้องโอ๊ตสละโสด เป็นคนแรกของบ้าน.. ตำนานบ้านสาวโสดจึงถูกปิดไปพร้อมกัน...


แม้ว่าเราและพี่หมวยยังคงกลับไปที่นั่นเพื่อไปเจอเพื่อนคนอื่นๆ ..แต่..ไม่มีบ้านนั้นสำหรับเราอีกแล้ว....จบเสียที..ตำนานบ้านสาวโสด
















ฝากความคิดถึงผ่านหน้าเว็บนะคะ..ทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน...






กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....